Welcome to my blog, hope you enjoy reading
RSS

ปริมาณแคลอรี่ของคนที่ใช้พลังงานแบบต่าง ๆ

1. คนที่ใช้พลังงานน้อย คือ คนที่อยู่บ้านเฉย ๆ ทำงานบ้านแบบเบา ๆ นั่งทำงานอยู่กับที่ หรือคนที่ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก ความต้องการพลังงานจึงค่อนข้างต่ำ ประมาณ 1,400 -1,600 กิโลแคลอรี่ ต่อวันแต่ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรได้รับปริมาณแคลอรี่ 1,000 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน

อาหารที่ควรรับประทานคือ
อาหารช่วยเร่งการเผาผลาญ ได้แก่ พริกไทย กระเทียม ชาเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง ผักสดต่างๆ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

อาหารที่ช่วยเสิมสร้างกระดูก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนมสดไขมันต่ำ ปลาเล็กปลาน้อยที่ทานได้ทั้งตัว งาดำ ถั่วพู ตำลึง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานให้น้อยที่สุด ได้แก่ เนื้อสัตว์ติดมัน หนังเป็ด หนังไก่ หนังหมู อาหารมันทุกชนิด เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวพัด อาหารทะเล แกงกะทิ เค้ก คุกกี้ ไอศครีม

2. คนที่ใช้พลังงานปานกลาง คือ คนที่ทำงานออฟฟิศ หรือนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน นักศึกษา แพทย์ ข้าราชการ อาจารย์ ซึ่งมักจะใช้สมอง มากกว่าแรงงาน ความต้องการพลังงานอยู่ในระดับปานกลาง ประมาณ 1,600 -1,800 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรได้รับปริมาณแคลอรี่ 1,200 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน

อาหารที่ควรรับประทานคือ
อาหารที่ช่วยบำรุงสมอง ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำมันปลา

อาหารที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลส้ม ผักสีเขียว สีแดง สีม่วง สีส้ม

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่เพิ่มความเครียด ได้แก่ ช็อกโกแลต กาแฟ แอลกอฮอล์ ขนมรสหวานจัด น้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง

3. คนที่ใช้พลังงานค่อนข้างมาก คือ คนที่ีทำงานเคลื่อนไหวร่างกายเกือบตลอดเวลา หรือคนที่ออกกำลังกาย 5-7 วันต่อสัปดาห์

อาหารที่ควรรับประทานคือ
อาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อไก่ที่ไม่ติดมัน ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม ธัญพืชต่างๆ นมสดไขมันต่ำ

อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ กล้วย มันฝรั่ง น้ำผลไม้ ไข่ นมไขมันต่ำ เนื้อสัตว์ เมล็ดทานตะวัน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง

4. คนที่ใช้พลังงานมาก คือ คนที่ทำงานกลางแจ้ง มีการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา นักกีฬา ความต้องการพลังงานของร่างกายอยู่ในระดับสูงมากคือ 2,200 - 2,600 กิโลแคลอรี่

อาหารที่ควรรับประทานคือ
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือหรือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชต่าง ๆ ข้าวโอ๊ต ข้าวโพดต้ม มันฝรั่งอบ

อาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ เนื้อปลาทะเล ผักตระกูลกะหล่ำ ผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก เช่น ส้ม ฝรั่ง สาลี่ สตรอว์เบอร์รี่ และควรดื่มน้ำวันละไม่ต่ำกว่า 2 ลิตร

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ ได้แก่ อาหารที่มีไขมันและ คอเลสเตอรอลสูง อาหารรสเค็ม

วิธีคำนวณหาน้ำหนักมาตรฐาน

สาว ๆ หลายคนคงจะกังวลกับรูปร่างของตัวเองว่า เอ๊ะ! เราอวบไปไหม เราอ้วนไปแล้วหรือเปล่า การจะดูว่ารูปร่างของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่นั้น นอกจากจะดูที่ส่วนสูงและน้ำหนักแล้ว ยังต้องดูที่โครงสร้างของร่างกายโดยรวมประกอบไปด้วย ซึ่งมีวิธีคำนวณดั้งนี้ค่ะ นั่นคือการใช้ขนาดของข้อมือเป็นเกณฑ์วัด

เกณฑ์วัดสำหรับผู้หญิงนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าคุณเป็นคนโครงสร้างของร่างกาย ใหญ่ กลาง เล็กนั้น นิยมวัดรอบข้อมือ โดยใช้สายวัดหรือ ตลับเมตรนั่นแหละค่ะ

โครงสร้างเล็ก รอบข้อมือ = 5 - 5.5 นิ้ว
โครงสร้างปานกลาง รอบข้อมือ = 5.5 - 6 นิ้ว
โครงสร้างใหญ่ รอบข้อมือ = 6 - 6.5 นิ้ว

ทีนี้สาวๆ รู้แล้วใช่ไหมค่ะ ว่าตัวเองมีโครงสร้างแบบใด

รสชาติของอาหารต่อร่างกาย

ลิ้นของคนเรามีตุ่มรับรสอยู่ 5 รส คือ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม เผ็ด ซึ่งรส
ทั้งห้านี้แต่ละรสนี้ก็ยังมีความสำคัญต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่างกัน
ไปด้วย

* อาหารรสหวาน ความหวานนี้ได้จากน้ำผึ้ง หรือผลไม้ต่าง ๆ นั้นมีประ
โยชน์ต่อระบบย่อย การทำงานของม้าม และช่วยเสริมการทำงานของระ
บบไหลเวียนโลหิต แต่ถ้ากินหวานมากเกินไป โดยเฉพาะของหวานอย่าง
เบเกอรี่ หรือลูกกวาด ก็จะทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

* อาหารรสเค็ม ความเค็มที่มีประโยชน์คือ ความเค็มที่ได้รับจากการกิน
อาหาร ที่มีส่วนผสมของเกลืออยู่อย่างพอเหมาะ จะช่วยให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ
ในร่างกายกักเก็บน้ำไว้ได้ดีขึ้น และทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดี แต่
ถ้ากินเค็มมากเกินไปก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตได้

* อาหารรสเปรี้ยว การกินผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ฝรั่ง ส้ม จะทำให้
ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกัน
โรคหวัด หรือต่อสู้กับไวรัสที่เข้ามาทำร้ายสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีประ
โยชน์ต่อตับและถุงน้ำดี ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แต่การกิน
เปรี้ยวมากไปก็อาจมีผลทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง หรือเป็นแผลได้

* อาหารรสขม รสขมจากพืชผัก สมุนไพรอย่าง คะน้า กวางตุ้ง ฟ้าทลาย
โจร มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยในการทำงานของระบบย่อย และดูดซึมสาร
อาหาร รวมไปถึงระบบการขับถ่ายของเสีย นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระ
ที่อุดมอยู่ในผักใบเขียว ยังช่วยบำรุงสมองให้มีความจำที่ดี และป้องกัน
โรคมะเร็งลำไส้

* อาหารรสเผ็ด สมุนไพรอาทิ พริก กระเทียม พริกไทย ขิง จะช่วยกระตุ้น
ให้เจริญอาหาร ขับสารพิษ และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตคล่องตัวขึ้น
แต่การกินพริกมากเกินไปอาจสร้างความระคายเคืองให้กระเพาะอาหารได้
ส่วนการกินกระเทียมในปริมาณมาก ๆ ก็อาจส่งผลกลับกัน จากที่ช่วยย่อย
ก็อาจจะทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อแทน

วิธีระงับความเหนื่อยล้า

วิธีระงับความรู้สึกเหนื่อยล้าของร่างกาย
1. ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ขึ้นไปเพราะการดื่มน้ำ
สามารถให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วย เนื่องจากร่างกายจะพยายาม
ปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อให้ได้น้ำมาใช้ในกระบวนการเผาพลาญ
ผลิตพลังงาน

2. รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออก
เป็นมื้อย่อย ๆ ปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ เพราะหากกินอาหารเข้า
ไปเยอะ ๆ จนเกินอิ่ม มักจะมีอาการง่วงซึม และเชื่องช้าตามมาหลังรับ
ประทานอาหารเสร็จ เพราะร่างกายใช้พลังงานไปในการย่อยอาหาร
จนหมด ไม่เหลือให้ได้ทำกิจกรรมอย่างอื่นนั่นเอง

3. หายใจลึก ๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจ เข้า-ออก ติดต่อกันประ
มาณ 2 นาที จะช่วยให้ผ่อนคลายจากอารมณ์เหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล
เศร้าใจ เสียใจ หรือความโกรธได้

4. ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้าง
สารเอ็นดอร์ฟินขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกเป็น
สุข ช่วยคลายความเหนื่อล้า อ่อนเพลียได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้นอนหลับ
ได้สนิท และตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น สดใส

ประโยชน์ของงา


"งา" ธัญพืชจิ๋วแต่เจ๋งที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย โดยงา
จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ งาขาว และงาดำ ซึ่งมีประโยชน์และสรรพคุณ
ทางยาต่อร่างกายด้วยกันทั้ง 2 แบบ นอกจากนี้ น้ำมันงาที่ใช้สำหรับปรุง
อาหารยังมีกลิ่นหอม และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อหลอด
เลือด และหัวใจ

ประโยชน์ของงามีดังนี้


- น้ำมันที่ได้จากเมล็ดงา มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมัน
โอเมกา-3 และกรดไขมันโอเมกา-6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอ
รอล จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระ
บบการสูบฉีดเลือดภายในหัวใจแข็งแรง และยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก
ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

- งามีแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่าทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก
แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และมีวิตา
มินบีชนิดต่าง ๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับง่าย บำรุง
ร่างกายให้กระฉับกระเฉง และมีวิตามินอี ซึ่งเป็นแอนตีออกซิแดนต์
ช่วยต้านมะเร็งต่าง ๆ

- วิตามินบีคอมเพล็กซ์ หรือที่เรียกกันว่าวิตามินบีรวม ที่อยู่ภายในเมล็ด
งา ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก นอกจากนี้ใยอาหารที่ได้จาก
การรับประทานงายังป้องกันอาการท้องผูก และช่วยบรรเทาอาการริดสี
ดวงทวาร

- น้ำมันงาดิบ นำมาใช้นวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบ
ประสาท และระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียด ทำ
ให้จิตใจสงบ บรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการ
ปวดเข่าเคล็ดขัดยอก และบำรุงผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น

รักษาสิวแบบชีวจิต

การรักษาสิวด้วยตนเองในแบบชีวจิต มีข้อปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. ปรับอาหารการกินให้ถูกต้อง ไม่ควรรับประทานอาหารประเภท
แป้ง และน้ำตาล รวมทั้งอาหารมัน ๆ และของทอด มากเกินไปแต่
ควรหันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก และเลือกรับประทานอา
หารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต และอาหาร
ทะเล เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว และทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น
ที่สำคัญควรดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 2 ลิตร

2. ดีท็อกซ์ เพราะการเป็นสิวแสดงว่าร่างกายมีการสะสมสารพิษ
เกิดขึ้น การอบไอน้ำหรือซาวน่า การดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสด หรือการ
รับประทานแต่ผลไม้ใน 1 วัน จะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้

3. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก จะช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดี ทำ
ให้ต่อมไขมันเปิด ช่วยให้หัวสิวยุบ และล้างหน้าให้สะอาดเสมอวัน
ละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

4. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดใส แจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะ
ช่วยให้การไหลเวียนของเลือด และน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือด
ขาวในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น