Welcome to my blog, hope you enjoy reading
RSS

รสชาติของอาหารต่อร่างกาย

ลิ้นของคนเรามีตุ่มรับรสอยู่ 5 รส คือ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม เผ็ด ซึ่งรส
ทั้งห้านี้แต่ละรสนี้ก็ยังมีความสำคัญต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่างกัน
ไปด้วย

* อาหารรสหวาน ความหวานนี้ได้จากน้ำผึ้ง หรือผลไม้ต่าง ๆ นั้นมีประ
โยชน์ต่อระบบย่อย การทำงานของม้าม และช่วยเสริมการทำงานของระ
บบไหลเวียนโลหิต แต่ถ้ากินหวานมากเกินไป โดยเฉพาะของหวานอย่าง
เบเกอรี่ หรือลูกกวาด ก็จะทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

* อาหารรสเค็ม ความเค็มที่มีประโยชน์คือ ความเค็มที่ได้รับจากการกิน
อาหาร ที่มีส่วนผสมของเกลืออยู่อย่างพอเหมาะ จะช่วยให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ
ในร่างกายกักเก็บน้ำไว้ได้ดีขึ้น และทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดี แต่
ถ้ากินเค็มมากเกินไปก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตได้

* อาหารรสเปรี้ยว การกินผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ฝรั่ง ส้ม จะทำให้
ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกัน
โรคหวัด หรือต่อสู้กับไวรัสที่เข้ามาทำร้ายสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีประ
โยชน์ต่อตับและถุงน้ำดี ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แต่การกิน
เปรี้ยวมากไปก็อาจมีผลทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง หรือเป็นแผลได้

* อาหารรสขม รสขมจากพืชผัก สมุนไพรอย่าง คะน้า กวางตุ้ง ฟ้าทลาย
โจร มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยในการทำงานของระบบย่อย และดูดซึมสาร
อาหาร รวมไปถึงระบบการขับถ่ายของเสีย นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระ
ที่อุดมอยู่ในผักใบเขียว ยังช่วยบำรุงสมองให้มีความจำที่ดี และป้องกัน
โรคมะเร็งลำไส้

* อาหารรสเผ็ด สมุนไพรอาทิ พริก กระเทียม พริกไทย ขิง จะช่วยกระตุ้น
ให้เจริญอาหาร ขับสารพิษ และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตคล่องตัวขึ้น
แต่การกินพริกมากเกินไปอาจสร้างความระคายเคืองให้กระเพาะอาหารได้
ส่วนการกินกระเทียมในปริมาณมาก ๆ ก็อาจส่งผลกลับกัน จากที่ช่วยย่อย
ก็อาจจะทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อแทน

วิธีระงับความเหนื่อยล้า

วิธีระงับความรู้สึกเหนื่อยล้าของร่างกาย
1. ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ขึ้นไปเพราะการดื่มน้ำ
สามารถให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วย เนื่องจากร่างกายจะพยายาม
ปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อให้ได้น้ำมาใช้ในกระบวนการเผาพลาญ
ผลิตพลังงาน

2. รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออก
เป็นมื้อย่อย ๆ ปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ เพราะหากกินอาหารเข้า
ไปเยอะ ๆ จนเกินอิ่ม มักจะมีอาการง่วงซึม และเชื่องช้าตามมาหลังรับ
ประทานอาหารเสร็จ เพราะร่างกายใช้พลังงานไปในการย่อยอาหาร
จนหมด ไม่เหลือให้ได้ทำกิจกรรมอย่างอื่นนั่นเอง

3. หายใจลึก ๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจ เข้า-ออก ติดต่อกันประ
มาณ 2 นาที จะช่วยให้ผ่อนคลายจากอารมณ์เหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล
เศร้าใจ เสียใจ หรือความโกรธได้

4. ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้าง
สารเอ็นดอร์ฟินขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกเป็น
สุข ช่วยคลายความเหนื่อล้า อ่อนเพลียได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้นอนหลับ
ได้สนิท และตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น สดใส

ประโยชน์ของงา


"งา" ธัญพืชจิ๋วแต่เจ๋งที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย โดยงา
จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ งาขาว และงาดำ ซึ่งมีประโยชน์และสรรพคุณ
ทางยาต่อร่างกายด้วยกันทั้ง 2 แบบ นอกจากนี้ น้ำมันงาที่ใช้สำหรับปรุง
อาหารยังมีกลิ่นหอม และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อหลอด
เลือด และหัวใจ

ประโยชน์ของงามีดังนี้


- น้ำมันที่ได้จากเมล็ดงา มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมัน
โอเมกา-3 และกรดไขมันโอเมกา-6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอ
รอล จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระ
บบการสูบฉีดเลือดภายในหัวใจแข็งแรง และยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก
ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

- งามีแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่าทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก
แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และมีวิตา
มินบีชนิดต่าง ๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับง่าย บำรุง
ร่างกายให้กระฉับกระเฉง และมีวิตามินอี ซึ่งเป็นแอนตีออกซิแดนต์
ช่วยต้านมะเร็งต่าง ๆ

- วิตามินบีคอมเพล็กซ์ หรือที่เรียกกันว่าวิตามินบีรวม ที่อยู่ภายในเมล็ด
งา ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก นอกจากนี้ใยอาหารที่ได้จาก
การรับประทานงายังป้องกันอาการท้องผูก และช่วยบรรเทาอาการริดสี
ดวงทวาร

- น้ำมันงาดิบ นำมาใช้นวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบ
ประสาท และระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียด ทำ
ให้จิตใจสงบ บรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการ
ปวดเข่าเคล็ดขัดยอก และบำรุงผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น