วิธีการพรางสิว หรือ เทคนิคการพรางสิวได้อย่างแนบเนียน
1. ทำความสะอาดใบหน้า ซับให้แห้ง ลูบไล้มอยเจอร์ไรเซอร์เบาๆ
ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิว
2. ทารองพื้นบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า หรือทาเฉพาะบางจุดที่ต้องการ
ปกปิดเป็นพิเศษ
3. ใช้คอนซีลเลอร์สีเขียว ชนิดครีมแต้มเบา ๆ เพียงเล็กน้อยที่รอย
สิว เพื่อลบรอยแดงจากสิวอักเสบให้จางลง
4. แต้มคอนซีลเลอร์สีเนื้อ ที่โทนสีใกล้เคียงกับสีผิวหน้ามากที่สุด
ที่รอยสิวบาง ๆ อีกครั้ง
5. ทาแป้งฝุ่นทับ ปัดให้กลมกลืนทั้งใบหน้า
6. แต่งหน้าเพิ่มสีสันได้ตามต้องการ
แค่นี้สาว ๆ ก็ได้ผิวหน้าที่เนียนใส ไร้ที่ติแล้วล่ะค่ะ
สิวที่ไม่ใช่สิว
สิวที่ไม่ใช่สิว คือสิวที่เรียกชื่อผิด ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมไขมัน
หรือดูเหมือนสิวแต่ไม่ใช่สิว ได้แก่
- สิวหิน เป็นเม็ดแบน ๆ รูปร่างหลายเหลี่ยมอยู่ใต้ตา ที่จริงแล้วไม่
ใช่สิว แต่เป็นเนื้องอกซึ่งเจริญจากท่อเหงื่อ
- เนื้องอกของต่อมไขมัน ไม่ใช่เนื้องอกร้ายแรง มีลักษณะคล้าย
สิวแต่รูปร่างไม่กลม มองเห็นได้ว่าข้างในมีไขมันอยู่บ้าง
- หูดข้าวสุก มักปรากฏในเด็กทั้งบนใบหน้าและส่วนอื่นของร่าง
กายเหมือนข้าวสุกฝังอยู่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
- สิวข้าวสาร ไม่ใช่สิวแต่มีลักษณะเหมือนสิว มีอาการอุดตันเป็น
ซีสต์ตื้น ๆ อยู่ในชั้นบนผิว โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมไขมัน
หรือดูเหมือนสิวแต่ไม่ใช่สิว ได้แก่
- สิวหิน เป็นเม็ดแบน ๆ รูปร่างหลายเหลี่ยมอยู่ใต้ตา ที่จริงแล้วไม่
ใช่สิว แต่เป็นเนื้องอกซึ่งเจริญจากท่อเหงื่อ
- เนื้องอกของต่อมไขมัน ไม่ใช่เนื้องอกร้ายแรง มีลักษณะคล้าย
สิวแต่รูปร่างไม่กลม มองเห็นได้ว่าข้างในมีไขมันอยู่บ้าง
- หูดข้าวสุก มักปรากฏในเด็กทั้งบนใบหน้าและส่วนอื่นของร่าง
กายเหมือนข้าวสุกฝังอยู่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
- สิวข้าวสาร ไม่ใช่สิวแต่มีลักษณะเหมือนสิว มีอาการอุดตันเป็น
ซีสต์ตื้น ๆ อยู่ในชั้นบนผิว โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมไขมัน
รองพื้นแล้วเป็นสิว
เครื่องสำอางถูกพูดถึงบ่อย ๆ ว่าใช้แล้วสิวขึ้น ซึ่งถูกบางส่วนคือมี
โอกาสเิกิดสิวได้จริง แต่เป็นบางกรณี เพราะแต่ละคนมีปฏิกิริยากับ
สารต่างกัน ชื่อสารที่อาจก่อให้เกิดสิวอุดตัน มีดังนี้
Butyl Stearate
Corn Oil
Decyl Oleate
Lsopropyl myristate
Lsopropyl palminate
Lanolin acetylated
Laureth-4
Myristyl ether propinoate
Myristyl myristte
Oleyl alcohol
Oleyl pamitate
Peanut Oil
Propylene glycol stearate
Sanflower Oil
Sodium lauryl sulfate
Cocoa butter
D&C red dyes
Lsopropyl lsosterate
Lsostearyl neopentanate
Lsocetyl stearate
Linseed Oil
Mineral Oil
Myristyl lactate
Oleic acid
Olive Oil
Octyl stearate
Petrolatum
Methy oleate
Sesame oil
Stearic acid
โอกาสเิกิดสิวได้จริง แต่เป็นบางกรณี เพราะแต่ละคนมีปฏิกิริยากับ
สารต่างกัน ชื่อสารที่อาจก่อให้เกิดสิวอุดตัน มีดังนี้
Butyl Stearate
Corn Oil
Decyl Oleate
Lsopropyl myristate
Lsopropyl palminate
Lanolin acetylated
Laureth-4
Myristyl ether propinoate
Myristyl myristte
Oleyl alcohol
Oleyl pamitate
Peanut Oil
Propylene glycol stearate
Sanflower Oil
Sodium lauryl sulfate
Cocoa butter
D&C red dyes
Lsopropyl lsosterate
Lsostearyl neopentanate
Lsocetyl stearate
Linseed Oil
Mineral Oil
Myristyl lactate
Oleic acid
Olive Oil
Octyl stearate
Petrolatum
Methy oleate
Sesame oil
Stearic acid
รองพื้นสูตรต่าง ๆ
รองพื้น (FOUNDATION) จัดอยู่ในประเภทเครื่องสำอางเพื่อ
ประทินโฉม ออกฤทธิ์เฉพาะชั้นขี้ไคล แตกต่างไปจากเวชสำอาง
ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มกึ่งยากึ่งเครื่องสำอางโดยจะออกฤทธิ์ต่อผิวหนัง
ตั้งแต่ชั้นขี้ไคลลงไป ดังนั้นจึงควรเลือกใช้อย่างรู้เท่าทันคำโฆษ-
ณาอวดอ้างเกินจริงรองพื้นเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ก่อนเครื่องสำ
อางชนิดอื่นๆ จึงมีส่วนสำคัญต่อการเิกิดปฏิกิริยาต่างๆ บนผิวหน้า
สูตรของรองพื้น แบ่งเป็นสูตรต่าง ๆ ดังนี้
สูตรออยล์เบส (OIL BASE) คือ วอเทอร์-อิน-ออยล์ มีตัวทำ
ละลายเป็นน้ำมัน และตัวละลายเป็นน้ำ ดังนั้นน้ำจะน้อยกว่าน้ำมัน
น้ำจะถูกปรุงแต่งด้วยสีที่เข้ากับสีผิวแบบต่าง ๆ ส่วนน้ำมันพวกมิ
เนอรัลออยล์ หรือลาโนลิน ทำให้อนุภาคของเม็ดสีกระจายได้สม่ำ
เสมอและเคลือบผิวได้ดี
ข้อดีคือ ปกปิดรอยด่างดำ หรือแผลเป็นได้ค่อนข้างดี เพิ่มความ
ชุ่มชื่นในผิวแห้ง ติดทน ไม่ถูกชะล้างด้วยเหงื่อ ไม่แห้งเร็วเกินไป
ทำให้เกลี่ยได้ดี
ข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับอากาศร้อน และผิวมัน เพราะอาจจะทำให้
เยิ้มได้ เนื้อครีมมักจะข้น มีแนวโน้มจะรบกวนผิวที่กำลังมีปัญหาสิว
สูตรวอเทอร์เบส (WATER BASE) คือ ออยล์อินวอเทอร์ มีน้ำ
มากกว่าน้ำมัน แต่มีส่วนที่เพิ่มคือ อิมัลซิฟายเออร์ เพื่อทำให้น้ำมัน
กับน้ำเข้ากันได้ แต่มีส่วนผสมของน้ำมันน้อยกว่าชนิดแรก จึงทำ
ให้ติดผิวหน้าไม่ทนเท่าชนิดแรก และอาจเกลี่ยได้ยาก เกิดรอยด่าง
ได้ง่าย เหมาะกับผิวธรรมดา หรือผิวที่ไม่แห้งมาก
สูตรออยล์ฟรี (OIL FREE) ไม่ใส่น้ำมัน แต่มีสารเคมีที่ไม่ก่อให้
เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เป็นอนุพันธ์ของซิลิโคนชื่อไดเมทธิโคน และ
ไซโคลเมทธิ สารนี้อุ้มน้ำและดูดซับน้ำมันได้ มีคุณสมบัติติดทนพอ
ควร ทำให้เคลือบอยู่บนผิวได้
ข้อดีคือ เนื้อบาง ไม่เหนอะหนะ เหมาะกับผิวหน้าธรรมดาไม่มันมาก
ไม่มีรอยแผลเป็น หรือรอยด่างดำให้ปกปิด
ข้อเสียคือ ติดอยู่บนผิวได้ไม่นาน อาจจะสีตกหรือเป็นรอยด่างได้
เมื่อเวลาเหงื่อออก หรือโดนน้ำ และเกลี่ยยากเพราะเนื้อค่อนข้าง
จะแห้งเร็ว
สูตรวอเทอร์ฟรี (WATER FREE) เป็นรองพื้นที่เนื้อหนักที่สุด
มีส่วนผสมจากน้ำมันต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากพืช มิเนอรัลออยล์
ลาโนลิน ผสมกับแว็กซ์ เป็นครีมเนื้อหนักจึงมักอยู่ในบรรจุภัณฑ์
แบบกระปุก
ข้อดีคือ เนื้อติดทน สีไม่ตกไม่ด่าง ปกปิดรอยด่างดำได้ดี เหมาะ
สำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดและต้องการให้ติดทนมากที่สุด
ข้อเสียคือ มีเนื้อหนาหนัก ทำความสะอาดยาก
สาว ๆ ควรเลือกใช้ตามวัตถุประสงค์ และตามสภาพผิวนะค่ะ เพื่อ
ผิวหน้าที่เรียบเนียน ไร้ที่ติ จนใคร ๆ ก็เหลียวมอง
ประทินโฉม ออกฤทธิ์เฉพาะชั้นขี้ไคล แตกต่างไปจากเวชสำอาง
ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มกึ่งยากึ่งเครื่องสำอางโดยจะออกฤทธิ์ต่อผิวหนัง
ตั้งแต่ชั้นขี้ไคลลงไป ดังนั้นจึงควรเลือกใช้อย่างรู้เท่าทันคำโฆษ-
ณาอวดอ้างเกินจริงรองพื้นเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ก่อนเครื่องสำ
อางชนิดอื่นๆ จึงมีส่วนสำคัญต่อการเิกิดปฏิกิริยาต่างๆ บนผิวหน้า
สูตรของรองพื้น แบ่งเป็นสูตรต่าง ๆ ดังนี้
สูตรออยล์เบส (OIL BASE) คือ วอเทอร์-อิน-ออยล์ มีตัวทำ
ละลายเป็นน้ำมัน และตัวละลายเป็นน้ำ ดังนั้นน้ำจะน้อยกว่าน้ำมัน
น้ำจะถูกปรุงแต่งด้วยสีที่เข้ากับสีผิวแบบต่าง ๆ ส่วนน้ำมันพวกมิ
เนอรัลออยล์ หรือลาโนลิน ทำให้อนุภาคของเม็ดสีกระจายได้สม่ำ
เสมอและเคลือบผิวได้ดี
ข้อดีคือ ปกปิดรอยด่างดำ หรือแผลเป็นได้ค่อนข้างดี เพิ่มความ
ชุ่มชื่นในผิวแห้ง ติดทน ไม่ถูกชะล้างด้วยเหงื่อ ไม่แห้งเร็วเกินไป
ทำให้เกลี่ยได้ดี
ข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับอากาศร้อน และผิวมัน เพราะอาจจะทำให้
เยิ้มได้ เนื้อครีมมักจะข้น มีแนวโน้มจะรบกวนผิวที่กำลังมีปัญหาสิว
สูตรวอเทอร์เบส (WATER BASE) คือ ออยล์อินวอเทอร์ มีน้ำ
มากกว่าน้ำมัน แต่มีส่วนที่เพิ่มคือ อิมัลซิฟายเออร์ เพื่อทำให้น้ำมัน
กับน้ำเข้ากันได้ แต่มีส่วนผสมของน้ำมันน้อยกว่าชนิดแรก จึงทำ
ให้ติดผิวหน้าไม่ทนเท่าชนิดแรก และอาจเกลี่ยได้ยาก เกิดรอยด่าง
ได้ง่าย เหมาะกับผิวธรรมดา หรือผิวที่ไม่แห้งมาก
สูตรออยล์ฟรี (OIL FREE) ไม่ใส่น้ำมัน แต่มีสารเคมีที่ไม่ก่อให้
เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เป็นอนุพันธ์ของซิลิโคนชื่อไดเมทธิโคน และ
ไซโคลเมทธิ สารนี้อุ้มน้ำและดูดซับน้ำมันได้ มีคุณสมบัติติดทนพอ
ควร ทำให้เคลือบอยู่บนผิวได้
ข้อดีคือ เนื้อบาง ไม่เหนอะหนะ เหมาะกับผิวหน้าธรรมดาไม่มันมาก
ไม่มีรอยแผลเป็น หรือรอยด่างดำให้ปกปิด
ข้อเสียคือ ติดอยู่บนผิวได้ไม่นาน อาจจะสีตกหรือเป็นรอยด่างได้
เมื่อเวลาเหงื่อออก หรือโดนน้ำ และเกลี่ยยากเพราะเนื้อค่อนข้าง
จะแห้งเร็ว
สูตรวอเทอร์ฟรี (WATER FREE) เป็นรองพื้นที่เนื้อหนักที่สุด
มีส่วนผสมจากน้ำมันต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากพืช มิเนอรัลออยล์
ลาโนลิน ผสมกับแว็กซ์ เป็นครีมเนื้อหนักจึงมักอยู่ในบรรจุภัณฑ์
แบบกระปุก
ข้อดีคือ เนื้อติดทน สีไม่ตกไม่ด่าง ปกปิดรอยด่างดำได้ดี เหมาะ
สำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดและต้องการให้ติดทนมากที่สุด
ข้อเสียคือ มีเนื้อหนาหนัก ทำความสะอาดยาก
สาว ๆ ควรเลือกใช้ตามวัตถุประสงค์ และตามสภาพผิวนะค่ะ เพื่อ
ผิวหน้าที่เรียบเนียน ไร้ที่ติ จนใคร ๆ ก็เหลียวมอง
วิธีกำจัดสิวให้หน้าใส
วิธีกำจัดสิวให้หมดไปได้หน้าใสกลับคืนมา
- ถ้าเป็นสิวเฉพาะจุด หรือเป็นสิวเล็กน้อยไม่กี่เม็ด ก็รักษาเฉพาะ
จุดก็ได้โดย
วิธีที่ 1 การนำไข่ขาวมาแต้มตรงหัวสิวก่อนนอนทิ้งไว้ทั้งคืนทำ
ทุกวันจนกว่าสิวจะยุบหายไป วิธีนี้จะทำให้สิวยุบตัวได้ภายใน 3
วัน และไม่ทิ้งรอยดำไว้ให้รำคาญใจด้วย
วิธีที่ 2 ตัดเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ปิดไว้บริเวณหัวสิว
แล้วใช้ผ้าก๊อชปิดทับอีกทีก่อนเข้านอน จะช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
วิธีที่ 3 นำยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมฟลูโอไลน์มาแต้มบริเวณหัวสิว
จะช่วยให้สิวแห้งเร็ว และลดอาการบวมแดงของสิวได้ แต่ข้อเสีย
คือ ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ หัวสิวจะแห้งไปด้วย ดังนั้นจึงควรแต้ม
ให้อยู่ภายในบริเวณหัวสิวนะค่ะ
- ถ้าเป็นสิวเยอะ หรือเป็นทั่วใบหน้า ให้ล้างหน้าให้สะอาด ซับ
ให้แห้ง รวบผมเก็บไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำสำลีแผ่นชุบไข่ขาว
ที่เตรียมไว้พอหมาด (สำลีควรเป็นสำลีที่ปราศจากสารเรืองแสง
และสี) วางแปะไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา ปาก และรูจมูก
รอให้แห้ง ระหว่างนั้นให้ทำหน้านิ่ง ๆ อย่าพูดคุย หรือยิ้ม เพราะ
จะทำให้หน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ หลังจากที่สำลีแห้งแล้วค่อยๆ
ลอกออก สิวและจุกด่างดำบนใบหน้าจะหลุดลอกออกมากับแผ่น
สำลี จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ หรือโฟม แล้วใช้น้ำเย็นล้าง
หน้าอีกทีเพื่อกระชับรูขุมขน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้วล่ะค่ะ
วิธีนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง หรือ สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่าง
น้อย นอกจากจะช่วยรักษาสิว รอยด่างดำแล้ว ยังลดการเกิดสิว
และลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วยนะค่ะ
- ถ้าเป็นสิวเฉพาะจุด หรือเป็นสิวเล็กน้อยไม่กี่เม็ด ก็รักษาเฉพาะ
จุดก็ได้โดย
วิธีที่ 1 การนำไข่ขาวมาแต้มตรงหัวสิวก่อนนอนทิ้งไว้ทั้งคืนทำ
ทุกวันจนกว่าสิวจะยุบหายไป วิธีนี้จะทำให้สิวยุบตัวได้ภายใน 3
วัน และไม่ทิ้งรอยดำไว้ให้รำคาญใจด้วย
วิธีที่ 2 ตัดเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ปิดไว้บริเวณหัวสิว
แล้วใช้ผ้าก๊อชปิดทับอีกทีก่อนเข้านอน จะช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
วิธีที่ 3 นำยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมฟลูโอไลน์มาแต้มบริเวณหัวสิว
จะช่วยให้สิวแห้งเร็ว และลดอาการบวมแดงของสิวได้ แต่ข้อเสีย
คือ ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ หัวสิวจะแห้งไปด้วย ดังนั้นจึงควรแต้ม
ให้อยู่ภายในบริเวณหัวสิวนะค่ะ
- ถ้าเป็นสิวเยอะ หรือเป็นทั่วใบหน้า ให้ล้างหน้าให้สะอาด ซับ
ให้แห้ง รวบผมเก็บไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำสำลีแผ่นชุบไข่ขาว
ที่เตรียมไว้พอหมาด (สำลีควรเป็นสำลีที่ปราศจากสารเรืองแสง
และสี) วางแปะไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา ปาก และรูจมูก
รอให้แห้ง ระหว่างนั้นให้ทำหน้านิ่ง ๆ อย่าพูดคุย หรือยิ้ม เพราะ
จะทำให้หน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ หลังจากที่สำลีแห้งแล้วค่อยๆ
ลอกออก สิวและจุกด่างดำบนใบหน้าจะหลุดลอกออกมากับแผ่น
สำลี จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ หรือโฟม แล้วใช้น้ำเย็นล้าง
หน้าอีกทีเพื่อกระชับรูขุมขน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้วล่ะค่ะ
วิธีนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง หรือ สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่าง
น้อย นอกจากจะช่วยรักษาสิว รอยด่างดำแล้ว ยังลดการเกิดสิว
และลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วยนะค่ะ
อาการแพ้เครื่องสำอาง
การแพ้เครื่องสำอาง คืออาการอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง
มีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ชนิด ความเป็นกรด-ด่าง ของ
เครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งของการใช้เครื่องสำอางด้วย อาการ
ข้างเคียงหรืออาการแพ้เครื่องสำอางมักมาในรูปแบบเหล่านี้
ระคายเคือง จะปรากฏเป็นอาการแสบ คัน ปวด ร้อนหรือคันยิบ ๆ
เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาที หลังจากใช้เครื่องสำอาง แต่
ถ้าไม่สัมพัสซ้ำอีกก็สามารถหายได้ เช่น เครื่องสำอางที่ผสม AHA
สิว เิกิดจากสารลาโนลิน ที่มีอยู่ในมอยซ์เจอไรเซอร์ โซเดียมลอ-
ริลซัลเฟตที่มีอยู่ในสบู่ หรือสารสเตียรอยด์
ผิวหนังเปลี่ยนสี เครื่องสำอางบางชนิดใช้แล้วหน้ายิ่งดำ ฝ้าขึ้น
บางชนิดเมื่อถูกแดดจะทำปฏิกิริยาเกิดรอยดำ สารธรรมชาติที่ทำ
ให้เกิดอาการนี้ได้แก่ มะกรูด มะนาว แตงกวา แม้แต่สมุนไพรทา
หน้าต่าง ๆ หรือการใช้สารที่มีไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง เช่น
น้ำหอม ยาฆ่าเชื้อ สบู่ทั่ว ๆ ไป ก็ทำให้เกิดอาการพวกนี้ได้
ผื่นขาว เิกิดจากยาทาหน้าขาว สบู่แรง ๆ สารระงับกลิ่นที่มีสาร
ปรอท ยาสีฟัน
ลมพิษ ถ้าเป็นน้อยจะเป็นผื่นบวม ถ้าเป็นมากหนังตา และปากจะ
บวม หรือบวมทั้งหน้า สารที่เป็นต้นเหตุอาจเป็นพวก แอลกอฮอล์
น้ำหอม สารกันบูด น้ำยาย้อมผม เมนทอล และสารทำละลายใน
เครื่องสำอาง
ภูมิแพ้ อาการคล้ายคลึงกับกลุ่มระคายเคือง แม้สารที่ใช้ไม่เข้ม
ข้นแต่ถ้าสัมพัสร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ เช่น น้ำหอม ลาโนลิน
สารกันบูด สารทำละลาย สารกันแดด
เล็บเปลี่ยนแปลง เล็บลอกหลุด ผุกร่อน เปลี่ยนสี เกิดจากน้ำยา
ทาเล็บ และล้างเล็บ
ผมเปลี่ยนแปลง เช่น เส้นผมแห้ง กระด้าง หยาบ เกิดจากน้ำยา
ดัดผม น้ำยายืดผม
สำหรับสาวที่แพ้ง่ายควรเลือกใช้เครื่องสำอางในกลุ่มไฮโปอัล
เลอร์จิก (HYPOALLERGIC) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องสำอางที่เลี่ยง
การผสมน้ำหอม และสารกันบูดที่พบว่าแพ้ได้บ่อย
มีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ชนิด ความเป็นกรด-ด่าง ของ
เครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งของการใช้เครื่องสำอางด้วย อาการ
ข้างเคียงหรืออาการแพ้เครื่องสำอางมักมาในรูปแบบเหล่านี้
ระคายเคือง จะปรากฏเป็นอาการแสบ คัน ปวด ร้อนหรือคันยิบ ๆ
เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาที หลังจากใช้เครื่องสำอาง แต่
ถ้าไม่สัมพัสซ้ำอีกก็สามารถหายได้ เช่น เครื่องสำอางที่ผสม AHA
สิว เิกิดจากสารลาโนลิน ที่มีอยู่ในมอยซ์เจอไรเซอร์ โซเดียมลอ-
ริลซัลเฟตที่มีอยู่ในสบู่ หรือสารสเตียรอยด์
ผิวหนังเปลี่ยนสี เครื่องสำอางบางชนิดใช้แล้วหน้ายิ่งดำ ฝ้าขึ้น
บางชนิดเมื่อถูกแดดจะทำปฏิกิริยาเกิดรอยดำ สารธรรมชาติที่ทำ
ให้เกิดอาการนี้ได้แก่ มะกรูด มะนาว แตงกวา แม้แต่สมุนไพรทา
หน้าต่าง ๆ หรือการใช้สารที่มีไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง เช่น
น้ำหอม ยาฆ่าเชื้อ สบู่ทั่ว ๆ ไป ก็ทำให้เกิดอาการพวกนี้ได้
ผื่นขาว เิกิดจากยาทาหน้าขาว สบู่แรง ๆ สารระงับกลิ่นที่มีสาร
ปรอท ยาสีฟัน
ลมพิษ ถ้าเป็นน้อยจะเป็นผื่นบวม ถ้าเป็นมากหนังตา และปากจะ
บวม หรือบวมทั้งหน้า สารที่เป็นต้นเหตุอาจเป็นพวก แอลกอฮอล์
น้ำหอม สารกันบูด น้ำยาย้อมผม เมนทอล และสารทำละลายใน
เครื่องสำอาง
ภูมิแพ้ อาการคล้ายคลึงกับกลุ่มระคายเคือง แม้สารที่ใช้ไม่เข้ม
ข้นแต่ถ้าสัมพัสร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ เช่น น้ำหอม ลาโนลิน
สารกันบูด สารทำละลาย สารกันแดด
เล็บเปลี่ยนแปลง เล็บลอกหลุด ผุกร่อน เปลี่ยนสี เกิดจากน้ำยา
ทาเล็บ และล้างเล็บ
ผมเปลี่ยนแปลง เช่น เส้นผมแห้ง กระด้าง หยาบ เกิดจากน้ำยา
ดัดผม น้ำยายืดผม
สำหรับสาวที่แพ้ง่ายควรเลือกใช้เครื่องสำอางในกลุ่มไฮโปอัล
เลอร์จิก (HYPOALLERGIC) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องสำอางที่เลี่ยง
การผสมน้ำหอม และสารกันบูดที่พบว่าแพ้ได้บ่อย
คุณสมบัติของ AHA
เอเอชเอ (AHA-ALPHA HYDROXY ACID)
AHA เป็นกรดอินทรีย์กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มคาร์บ็อกซิลิกเอซิด เดิม
สกัดจากผลไม้ และสารธรรมชาติ จากอ้อย องุ่น แอปเปิ้ล ส้ม
มะนาว นมเปรี้ยว แต่ปัจจุบันสังเคราะห์ได้โดยตรง
คุณสมบัติของสารกลุ่มนี้คือ สามารถละลายน้ำได้ดี ไม่ละลาย
ในไขมัน เพราะฉนั้นจะซึมเข้าโดยตรงที่ผิวหน้า สามารถลดแรง
ยึดเหนี่ยวของเซลล์ชั้นขี้ไคลได้ เป็นการลอกแบบค่อยเป็นค่อย
ไปทำให้ผิวดูใสขึ้น ถ้าใช้ต่อเนื่องจะเพิ่มความหนาของผิวหนัง
กำพร้าเพิ่มความแข็งแรงให้กับหนังแท้ โดยการเพิ่มสารกราวด์-
ซับสแทนต์ ซึ่งเป็นสารที่เสริมความแข็งแรงของหนังแท้ และยัง
ช่วยลดรอยด่างดำ ฝ้า กระ แต่จะไม่มีผลต่อปาน ไฝ และกระลึก
จากผลการวิจัยแพทย์ทั่วไปเห็นด้วยว่า กรณีที่มีคนมารับการทำ
ทรีตเม้นต์ตามคลินิกด้วย AHA แล้วรู้สึกเห็นผลชัดว่าผิวใสขึ้น
นั้นก็เพราะเซลล์ลอกหลุดออก จึงทำให้ผิวดูนุ่มเนียนขึ้น แต่พอ
1 อาทิตย์ก็จะกลับเป็นอย่างเดิมอยู่ดี จึงต้องกลับมาทำบ่อย ๆ
วิธีการใช้ เอเอชเอ (AHA) มีอยู่ 2 วิธี
1. พวกเปอร์เซ็นต์ต่ำ ๆ 4-15% ควรทาเวลาเช้าและเย็น พวกเปอร์
เซ็นต์สูงกว่า 15% ใช้เพื่อทำการลอกผิว อาจใช้เพียงสัปดาห์ละ
1-2 ครั้ง
2. ทรีตเม้นต์ (CHEMICAL PEELING) ซึ่งจะใช้ราว 20-70%
อาจเป็นเจล หรือน้ำก็ได้ จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อย่างไรก็ตาม การใช้ AHA ให้ได้ผลดีสูงสุดต้องใช้ทั้ง 2 วิธี
ควบคู่กันไป และอีกชื่อที่เกี่ยวพันกับ AHA คือ AFA
เอเอฟเอ (AFA-AMINO FRUIT ACID)
พวกนี้เป็นสารที่มีสูตรโครงสร้างโมเลกุลคล้ายคลึงกับ AHA เข้า
ใจว่าในบ้านเรายังไม่มีการนำมาใช้ แต่ในเร็ววันนี้คงจะมี
ข้อดีของ AFA คือสูตรโครงสร้างโมเลกุลจะเกิดการระคายเคือง
หรือแพ้น้อยเมื่อเทียบกับ AHA นอกจากนั้น AFA ยังทำหน้าที่ให้
ความชุ่มชื่น โดยเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ตามธรรมชาติของผิืวและ
ยังมีฤทธิ์ป้องกันกันเกิดเม็ดสีผิวผิดปกติจากแสงแดดได้อีกด้วย
ตัว AFA สามารถพบได้ในธรรมชาติ มาจากต้นอ่อนของต้นอ้อย
แต่ในต้นไม้ที่เจริญเต็มที่แล้ว พวกนี้จะเปลี่ยนไปเป็น AHA แทน
บีเอชเอ (BHA-BETA HYDROXY ACID)
เป็นตัวที่ใช้ลอกผิวเช่นกัน ได้แก่ กรดซาลิิไซลิก มีคุณสมบัติละ
ลายในไขมันได้ดี ละลายน้ำได้น้อย ใช้ขัดผิวชั้นขี้ไคล ถ้าความ
เข้มข้นสูงใช้รักษาหูดได้ แต่เนื่องจากมีคุณสมบัติละลายในไข
มันได้ดี ดังนั้นจะดูดซึมดีทางรูขุมขน จึงช่วยลดการก่อสิวได้ดี
และข้อดีคือ ระคายเคืองน้อยกว่า AHA
พีเอชเอ (PHA)
โพลีไฮโดรซีแอซิด เนื่องจากพบว่า AHA ผสมในเครื่องสำอาง
ครีมบำรุงผิวแล้วเกิดอาการแพ้ และระคายเคืองบ่อย จึงมีบริษัท
เครื่องสำอางนำสาร PHA มาใช้แทนเพราะมีโมเลกุลที่ใหญ่กว่า
จึงไม่ซึมลึกเกิดการแพ้น้อยกว่าแต่สรรพคุณในด้านดีแบบ AHA
ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
สาว ๆ ที่ชอบดูแลผิวสามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพผิวของตัวเอง
ได้เลย และที่สำคัญเลือกซื้อจากร้าน หรือสถานที่ ที่เชื่อถือได้นะค่ะ
AHA เป็นกรดอินทรีย์กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มคาร์บ็อกซิลิกเอซิด เดิม
สกัดจากผลไม้ และสารธรรมชาติ จากอ้อย องุ่น แอปเปิ้ล ส้ม
มะนาว นมเปรี้ยว แต่ปัจจุบันสังเคราะห์ได้โดยตรง
คุณสมบัติของสารกลุ่มนี้คือ สามารถละลายน้ำได้ดี ไม่ละลาย
ในไขมัน เพราะฉนั้นจะซึมเข้าโดยตรงที่ผิวหน้า สามารถลดแรง
ยึดเหนี่ยวของเซลล์ชั้นขี้ไคลได้ เป็นการลอกแบบค่อยเป็นค่อย
ไปทำให้ผิวดูใสขึ้น ถ้าใช้ต่อเนื่องจะเพิ่มความหนาของผิวหนัง
กำพร้าเพิ่มความแข็งแรงให้กับหนังแท้ โดยการเพิ่มสารกราวด์-
ซับสแทนต์ ซึ่งเป็นสารที่เสริมความแข็งแรงของหนังแท้ และยัง
ช่วยลดรอยด่างดำ ฝ้า กระ แต่จะไม่มีผลต่อปาน ไฝ และกระลึก
จากผลการวิจัยแพทย์ทั่วไปเห็นด้วยว่า กรณีที่มีคนมารับการทำ
ทรีตเม้นต์ตามคลินิกด้วย AHA แล้วรู้สึกเห็นผลชัดว่าผิวใสขึ้น
นั้นก็เพราะเซลล์ลอกหลุดออก จึงทำให้ผิวดูนุ่มเนียนขึ้น แต่พอ
1 อาทิตย์ก็จะกลับเป็นอย่างเดิมอยู่ดี จึงต้องกลับมาทำบ่อย ๆ
วิธีการใช้ เอเอชเอ (AHA) มีอยู่ 2 วิธี
1. พวกเปอร์เซ็นต์ต่ำ ๆ 4-15% ควรทาเวลาเช้าและเย็น พวกเปอร์
เซ็นต์สูงกว่า 15% ใช้เพื่อทำการลอกผิว อาจใช้เพียงสัปดาห์ละ
1-2 ครั้ง
2. ทรีตเม้นต์ (CHEMICAL PEELING) ซึ่งจะใช้ราว 20-70%
อาจเป็นเจล หรือน้ำก็ได้ จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อย่างไรก็ตาม การใช้ AHA ให้ได้ผลดีสูงสุดต้องใช้ทั้ง 2 วิธี
ควบคู่กันไป และอีกชื่อที่เกี่ยวพันกับ AHA คือ AFA
เอเอฟเอ (AFA-AMINO FRUIT ACID)
พวกนี้เป็นสารที่มีสูตรโครงสร้างโมเลกุลคล้ายคลึงกับ AHA เข้า
ใจว่าในบ้านเรายังไม่มีการนำมาใช้ แต่ในเร็ววันนี้คงจะมี
ข้อดีของ AFA คือสูตรโครงสร้างโมเลกุลจะเกิดการระคายเคือง
หรือแพ้น้อยเมื่อเทียบกับ AHA นอกจากนั้น AFA ยังทำหน้าที่ให้
ความชุ่มชื่น โดยเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ตามธรรมชาติของผิืวและ
ยังมีฤทธิ์ป้องกันกันเกิดเม็ดสีผิวผิดปกติจากแสงแดดได้อีกด้วย
ตัว AFA สามารถพบได้ในธรรมชาติ มาจากต้นอ่อนของต้นอ้อย
แต่ในต้นไม้ที่เจริญเต็มที่แล้ว พวกนี้จะเปลี่ยนไปเป็น AHA แทน
บีเอชเอ (BHA-BETA HYDROXY ACID)
เป็นตัวที่ใช้ลอกผิวเช่นกัน ได้แก่ กรดซาลิิไซลิก มีคุณสมบัติละ
ลายในไขมันได้ดี ละลายน้ำได้น้อย ใช้ขัดผิวชั้นขี้ไคล ถ้าความ
เข้มข้นสูงใช้รักษาหูดได้ แต่เนื่องจากมีคุณสมบัติละลายในไข
มันได้ดี ดังนั้นจะดูดซึมดีทางรูขุมขน จึงช่วยลดการก่อสิวได้ดี
และข้อดีคือ ระคายเคืองน้อยกว่า AHA
พีเอชเอ (PHA)
โพลีไฮโดรซีแอซิด เนื่องจากพบว่า AHA ผสมในเครื่องสำอาง
ครีมบำรุงผิวแล้วเกิดอาการแพ้ และระคายเคืองบ่อย จึงมีบริษัท
เครื่องสำอางนำสาร PHA มาใช้แทนเพราะมีโมเลกุลที่ใหญ่กว่า
จึงไม่ซึมลึกเกิดการแพ้น้อยกว่าแต่สรรพคุณในด้านดีแบบ AHA
ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
สาว ๆ ที่ชอบดูแลผิวสามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพผิวของตัวเอง
ได้เลย และที่สำคัญเลือกซื้อจากร้าน หรือสถานที่ ที่เชื่อถือได้นะค่ะ
แสงแดดกับผิว และค่าเอสพีเอฟ
แสงแดดกับผิวสวย และค่าเอสพีเอฟ (SPF)
การปกป้องผิวจากแสงแดดในขั้นพื้นฐานก็คือหลีกเลี่ยงแดดจัด
โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 น.- 16.00 น. แต่สำหรับชาวเอเชีย
ที่ต้องเจอกับแดดอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น ก็ต้องสู้ด้วยการใช้ครีมกัน
แดดหรือยากันแดด SUNSCREEN หรือ SUNBLOCK แต่มักพบ
ว่ามีผู้มีปัญหาจากการเลือกใช้ครีมกันแดดผิด ๆ โดยหลงเชื่อคำ
โฆษณา
อย่างที่ทราบกันว่าครีมกันแดดจะมีค่าตัวเลข หรือค่า เอส พี เอฟ
(SPF) กำกับอยู่เสมอ และค่า เอสพีเอฟ (SPF) นี้เองเป็นตัวบอก
ถึงความสามารถในการป้องกันแสงแดด ซึ่งมีตั้งแต่ค่าต่ำไปถึงสูง
แต่ค่าเอส พี เอฟ ที่สูงไม่ได้แปลว่าครีมกันแดดนั้นจะดีและเหมาะ
สมกับผิวเราเสมอไป เพราะความจริงแล้ว ยาหรือครีมกันแดดที่มี
ค่า SPF 16 ก็สามารถกันแดดได้ถึง 95% ซึ่งมากพอสมควรแล้ว
ส่วนค่า SPF 30 กันได้เพิ่มขึ้นอีกเพียง 2% คือ 97% และค่า
SPF 60 ก็กันได้เพิ่มอีกแค่ 1.5% คือ 98.5%
ค่าเอส พี เอฟ (SPF) ยังเป็นการวัดความสามารถในการป้อง
กันการไหม้แสงแดดโดยรังสียูวีบีเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงการ
ป้องกันรังสียูวีเอ ซึ่งปัจจุบันพบว่า เป็นส่วนสำคัญในการทำให้
เกิดความดำคล้ำของผิวหนัง ฝ้า และรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง
สามารถลงลึกไปทำลายผิวหนังโดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้
(เรียกว่าดำโดยไม่ไหม้)
ดังนั้นควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า เอสพีเอฟ พอสมควรก็พอ
ไม่ต้องตื่นเต้นกับ ค่าเอสพีเอฟสูง ๆ ตามฝรั่งเขาเพราะผิวของ
เขาบางกว่า และขาวกว่าเรามากเขาเลยต้องใช้ค่าเอสพีเอฟที่
สูงกว่าเราเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง
และครีมกันแดดก็มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย และก่อ
ให้เกิดสิวอุดตันได้ง่ายเช่นกัน
ปัจจุบันได้มีการคิดค้นยากันแดดที่มีคุณสมบัติกันรังสียูวีเอได้
ตลอดช่วงคลื่น ที่กำลังนิยมได้แก่ สารซิงค์ออกไซด์ และ
พาร์ซอล 1789 ซึ่งนิยมนำมาผสมรวมกับสารกันแดดชนิดอื่น ๆ
เพื่อให้กันแดดได้ดีขึ้นทั้งช่วงยูวีเอ และยูวีบี แต่ข้อเสียเสียคือ
เมื่อทาแล้วจะเป็นสีขาว ทำให้ผิววอก ลอย ไม่เป็นธรรมชาติ
การปกป้องผิวจากแสงแดดในขั้นพื้นฐานก็คือหลีกเลี่ยงแดดจัด
โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 น.- 16.00 น. แต่สำหรับชาวเอเชีย
ที่ต้องเจอกับแดดอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น ก็ต้องสู้ด้วยการใช้ครีมกัน
แดดหรือยากันแดด SUNSCREEN หรือ SUNBLOCK แต่มักพบ
ว่ามีผู้มีปัญหาจากการเลือกใช้ครีมกันแดดผิด ๆ โดยหลงเชื่อคำ
โฆษณา
อย่างที่ทราบกันว่าครีมกันแดดจะมีค่าตัวเลข หรือค่า เอส พี เอฟ
(SPF) กำกับอยู่เสมอ และค่า เอสพีเอฟ (SPF) นี้เองเป็นตัวบอก
ถึงความสามารถในการป้องกันแสงแดด ซึ่งมีตั้งแต่ค่าต่ำไปถึงสูง
แต่ค่าเอส พี เอฟ ที่สูงไม่ได้แปลว่าครีมกันแดดนั้นจะดีและเหมาะ
สมกับผิวเราเสมอไป เพราะความจริงแล้ว ยาหรือครีมกันแดดที่มี
ค่า SPF 16 ก็สามารถกันแดดได้ถึง 95% ซึ่งมากพอสมควรแล้ว
ส่วนค่า SPF 30 กันได้เพิ่มขึ้นอีกเพียง 2% คือ 97% และค่า
SPF 60 ก็กันได้เพิ่มอีกแค่ 1.5% คือ 98.5%
ค่าเอส พี เอฟ (SPF) ยังเป็นการวัดความสามารถในการป้อง
กันการไหม้แสงแดดโดยรังสียูวีบีเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงการ
ป้องกันรังสียูวีเอ ซึ่งปัจจุบันพบว่า เป็นส่วนสำคัญในการทำให้
เกิดความดำคล้ำของผิวหนัง ฝ้า และรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง
สามารถลงลึกไปทำลายผิวหนังโดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้
(เรียกว่าดำโดยไม่ไหม้)
ดังนั้นควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า เอสพีเอฟ พอสมควรก็พอ
ไม่ต้องตื่นเต้นกับ ค่าเอสพีเอฟสูง ๆ ตามฝรั่งเขาเพราะผิวของ
เขาบางกว่า และขาวกว่าเรามากเขาเลยต้องใช้ค่าเอสพีเอฟที่
สูงกว่าเราเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง
และครีมกันแดดก็มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย และก่อ
ให้เกิดสิวอุดตันได้ง่ายเช่นกัน
ปัจจุบันได้มีการคิดค้นยากันแดดที่มีคุณสมบัติกันรังสียูวีเอได้
ตลอดช่วงคลื่น ที่กำลังนิยมได้แก่ สารซิงค์ออกไซด์ และ
พาร์ซอล 1789 ซึ่งนิยมนำมาผสมรวมกับสารกันแดดชนิดอื่น ๆ
เพื่อให้กันแดดได้ดีขึ้นทั้งช่วงยูวีเอ และยูวีบี แต่ข้อเสียเสียคือ
เมื่อทาแล้วจะเป็นสีขาว ทำให้ผิววอก ลอย ไม่เป็นธรรมชาติ
ลดริ้วรอยบนใบหน้าด้วยตำลึง
ตำลึง มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ประกอบด้วยวิตามินเอ และเบต้าแค
โรทีนสูง ซึ่งช่วยบำรุงและสมานผิว เช่น ลดการระคายเคือง ลดอา
การคัน อักเสบ และกำจัดกลิ่นตัวได้ดี นอกจากนี้แล้ว
ตำลึง มีสรรพคุณช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง และช่วยลดริ้วรอยได้ แต่
จะเห็นผลได้ก็ต้องทำเป็นประจำนะค่ะ เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ
ส่วนผสม ยอดตำลึง 1 ยอดอ่อน (ยาวประมาณ 1คืบ) น้ำผึ้งแท้
1-2 ช้อนชา
วิธีทำ ล้างยอดตำลึงให้สะอาด บดยอดอ่อนตำลึงให้ละเอียด
(ทั้งก้าน และใบ) แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้ง คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียว
กัน
ประโยชน์ของตังกุย
ตังกุย...มีกลิ่นหอม รสหวานเพ็ด มีฤทธิ์ร้อนเล็กน้อย อุดมด้วยวิ
ตามินบี 1 บี6 บี12 กรดโฟลิก และไบโอติน ช่วยกระตุ้นการไหล
เวียนของโลหิต บำรุงเลือดทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ บรรเทา
อาการปวดประจำเดือน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แพทย์จีนโบ
ราณยกให้ตังกุยเป็นสมุนไพรขนานเอกสำหรับสตรี นอกจากนี้ตัง
กุยยังช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และเป็นยา
ระบายอ่อนๆ อีกด้วย
ประโยชน์ของโสม
โสม...สุดยอดของสมุนไพร อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย
สารสำคัญในโสมคือ จินเซนโนไซด์และ ฮอโมนเอสโตรเจน มี
ประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อ และหลอดเลือดหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุง
เลือด บำรุงประสาท และสมอง ช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วย
ให้สมองนำออกซิเจนไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเชื่อกัน
ว่าหากรับประทานเป็นประจำจะทำให้สุขภาพแข็งแรง และอายุยืน
ประโยชน์ของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ...หรือเห็ดหมื่นปี มีรสหวาน ฤทธิ์ปานกลาง ชาวจีน
นิยมใช้มากว่า 2000 ปี ถือเป็นยาอายุวัฒนะในการรักษาโรคต่างๆ
มีการค้นคว้าในหลายประเทศพบว่า เห็ดหลินจือช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ของร่างกาย เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว รักษาหลอดลมอัก
เสบเรื้อรัง กระตุ้นการสร้างสารต้านทานการเจริญเติบโตของเซลล์
มะเร็ง ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เหมาะมากกับผู้ที่มีคอเลสเตอ
รอลสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง
ประโยชน์ของถั่งเฉ้า
ถั่งเฉ้า...หรือราแมลง
มีฤทธิ์อุ่น รสหวาน และมีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุง
ร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ ไต เสริมสร้างสุข
ภาพ เพิ่มพลังงาน และถั่งเฉ้ายังมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคปอด ผู้
ที่มีอาการไอ หอบหืด ทั้งยังช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ และ
ทำให้หลับสบายอีกด้วย