ถั่วเหลืองกับสุขภาพ
(Health and Soybean)
(Health and Soybean)
ถั่วเหลืองกับภาวะหมดประจำเดือน
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมักมีอาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด มี
อาการทางผิวหนังและเยื่อบุบริเวณช่องคลอด (อักเสบ แห้ง) รวม
ทั้งมีอัตราการเป็น โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และอัตรา
เสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดสูงขึ้นการใช้ฮอร์โมนทดแทนแม้จะ
ช่วยลดอาการไม่สุขสบายที่เกิดขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
เต้านมการรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองซึ่งมีไอโซฟลาโวน
เป็นส่วนประกอบและมีสูตรโครงสร้างคล้ายเอสโตรเจนอย่างสม่ำ
เสมอ จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้หญิงที่ไม่ต้องการใช้ฮอร์
โมนทดแทนช่วยลดอาการร้อนวูบวาบแล้วยังช่วยป้องกันโรคมะ
เร็งเต้านม และมะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนรวมทั้งลดระดับไขมันในเลือด
ได้ มีการศึกษาจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าการบริโภคโปรตีนถั่วเหลืองที่
มีไอโซฟลาโวนหรือการเสริมไอโซฟลาโวนสามารถเพิ่มความหนา
แน่นของกระดูกและลดอาการร้อนวูบวาบที่เกิดจากภาวะหมดประ
จำเดือนนากาตะและคณะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับประ
ทานผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองกับความถี่ของอาการร้อนวูบวาบในผู้หญิง
ญี่ปุ่นผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงญี่ปุ่นที่รับประทานผลิตภัณฑ์ถั่ว
เหลืองมากทั้งในแง่ปริมาณรวมของถั่วเหลืองและไอโซฟลาโวน
จะมีความถี่ของอาการร้อนวูบวาบน้อยกว่ามีรายงานว่าผู้หญิงวัย
หมดประจำเดือนในยุโรปมีอาการร้อนวูบวาบร้อยละ 70-80 ขณะ
ที่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนในมาเลเซีย จีนและสิงคโปร์มีอาการ
ร้อนวูบวาบร้อยละ 57, 18 และ 14ตามลำดับ ฮันท์ลีย์และเอิรนสท์
ได้ทำการประเมินประโยชน์ของการใช้ถั่วเหลืองและ ไอโฟลาโวน
โดยวิเคราะห์ผลจากการวิจัยทางคลินิก(Randomized Clinical
Trials) 10 เรื่อง พบว่า ผลการศึกษายังมีความขัดแย้งคือมี 4 การ
ศึกษาที่แสดงถึงประโยชน์ของการบริโภคไอโซฟลาโวนตั้งแต่
34 ถึง 134 มิลลิกรัมต่อวันทั้งในรูปแป้งถั่วเหลือง โปรตีนถั่ว
เหลืองหรือสกัดใส่แคบซูลในการช่วยลดกลุ่มอาการที่เกิดจาก
ภาวะหมดประจำเดือนขณะเดียวกันอีก 6 งานวิจัยไม่แสดงความ
แตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
ถั่วเหลืองกับโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่มีความผิดปกติของกระดูกทั้งในด้าน
ปริมาณและคุณภาพทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงเกิด
กระโกหักได้ง่ายแม้ได้รับการกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยทำการ
วินิจฉัยได้โดยการวัดความหาแน่นของมวลกระดูก สาเหตุที่พบ
ได้บ่อยและสำคัญมากที่สุดคือการขาดเอสโตรเจนจาการหมด
ประจำเดือนแคลเซียมมีผลต่อมวลกระดูกตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัย
สูงอายุ การเสริมแคลเซียมสามารถทำให้มวลกระดูกสูงขึ้นแม้จะ
ได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงพอตามข้อกำหนดสารอาหาร
ที่ควรได้รับประจำวัน (RDA) แล้วผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนจะ
มีการสูญเสียเนื้อกระดูกประมาณร้อยละ 3-5 ต่อปีในเวลา 3-5 ปี
ทำให้มวลกระดูกลดลงประมาณ 15 % หลังจากนั้นอัตราการสูญ
เสียเนื้อกระดูกจะลดลงระดับเดิมคือร้อยละ 0.5 – 1 ต่อปีจนเข้า
สู่วัยสูงอายุการเสริมแคลเซียมในช่วงนี้ไม่สามารถขจัดผลของ
การขาดเอสโตรเจนได้แต่ช่วยลดผลที่เกิดจากการขาดแคลเซียม
ผู้หญิงควรได้รับแคลเซียมจากอาหารวันละ800 –1200 มิลลิกรัม
อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นม ปลาทอดกรอบกินได้ทั้งกระดูก
กุ้งแห้ง เต้าหู้ เป็นต้น การศึกษาการบริโภคแคลเซียมในผู้ใหญ่ชาว
ไทยพบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ361มิลลิกรัมต่อวันเป็นปริมาณที่ต่ำ
กว่าที่ควรได้รับประจำวันมาก การศึกษาทางระบาดวิทยาได้แสดง
ให้เห็นว่า การบริโภคแคลเซียมที่น้อยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน มี
ความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเกิดสะโพกหักในชาว
ยุโรป และการเสริมแคลเซียมมีผลป้องกันการเกิดกระดูกหักจาก
ภาวะกระโกพรุนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรที่ได้รับแคลเซียม
จากอาหารไม่เพียงพอ ในกรณีที่อาหารอย่างเดียวไม่สามารถให้
แคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอาจพิจารณา
ให้ยาเม็ดแคลเซียมเสริม เช่น Calcium Carbonate,Calcium
Citrate เป็นต้น การทดลองในหนูพบว่า จีนิสทีน (ไอโซฟลาโวน
ชนิดหนึ่ง) ให้ผลคล้ายยาประเภทเอสโตรเจนชื่อพรีมาลิน
(Premalin) สามารถลดการสูญเสียมวลกระดูกได้โปรตีนถั่วเหลือง
สามารถป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกที่เกิดจากขาดฮอร์โมนจาก
รังไข่ของหนูที่ถูกตัดรังไข่ทิ้ง (เกิดการสร้างมวลกระดูกมากกว่าการ
สลายกระดูก) สำหรับการศึกษาในคนนั้นขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะ
สรุปผลว่าไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้
แต่ก็มีการศึกษาที่ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ได้รับและไม่
ได้รับไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้
รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเพื่อให้ได้รับไอโซ
ฟลาโวนมากกว่าจะรับประทานเป็นเม็ดยา
ถั่วเหลืองกับโรคหัวใจขาดเลือด
โดยทั่วไปหญิงวัยหมดระดูจะมีเอชดีแอล-คลอโคเลสเตอรอล
(HDL-Cholesterol) ลดลงและแอลดีแอล-คลอเลสเตอรอล
(LDL-Cholesterol) เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการลดลงของระดับเอส
โตรเจนปัจจัยต่อไปนี้ ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดัน
โลหิตสูง การสูบบุหรี่เบาหวาน อ้วน การขาดการออกกำลังกาย
และดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงทีสำคัญที่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็น
โรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่าประ
ชากรที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากพืชสูงจะมีอุบัติการของการเป็น
โรคหัวใจขาดเลือดและภาวะคลอเลสเตอรอลสูงในเลือดต่ำกว่า
ประชากรที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์สูงแอนเดอสันและคณะ
ได้วิเคราะห์รายงานวิจัยทางคลินิก 38 เรื่องโดยข้อมูลบ่งชี้ว่า
การกินโปรตีนถั่วเหลืองเฉลี่ย 47 กรัมต่อวันทำให้ระดับคลอเลส
เตอรอลในเลือดลดลงร้อยละ 9 แอลดีแอล-คลอเลสเตอรอลลด
ลงร้อยละ 13 ไตรกลีเซอไรด์ลดลงร้อยละ10เชื่อว่าเป็นผลจาก
ไฟโตเอสโตรเจนโปรตีนถั่วเหลือง 60-70 % องค์การอาหารและ
ยาของอเมริกา (Food and Drug Administration, FDA ) และ
สมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกา(American Heart Association,
AHA) ได้แนะนำให้กินโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัม ต่อวันและให้
โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและ
คลอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งอาจจะลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และ
หลอดเลือด
ถั่วเหลืองกับโรคมะเร็ง
มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก
มะเร็งรังไข่ ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกาย
และโรคหัวใจขาดเลือดมีอุบัติการต่ำกว่าในเอเชียและยุโรปตะวัน
ออกเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกมีรายงานว่าประเทศญี่ปุ่นมี
อัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนต่ำสุดผู้อพยพชาวเอเชียที่
อยู่ในประเทศตะวันตกที่ยังรับประทานอาหารตามประเพณีดั้งเดิม
ของตนมีอัตราเสี่ยงต่อโรคไม่สูงขึ้นแต่กลุ่มที่หันไปบริโภคแบบ
ตะวัตตกมีอัตราเสี่ยงต่อโรคสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับไฟโต
เอสโตรเจน โดยขึ้นกับปริมาณถั่วเหลืองที่แต่ละท้องถิ่นบริโภค
เช่น คนญี่ปุ่นรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองวันละ 200 มิล
ลิกรัม คนเอเชียจะได้รับไอโซฟลาโวนจากอาหารวันละ 25-45
มก. จากอาหารจำพวกถั่วเมล็ดแห้งสูงกว่าคนในประเทศตะวันตก
(อย่างน้อยกว่า5มิลลิกรัมตอวัน) ฮิรายามาและคณะพบว่าผู้หญิง
ญี่ปุ่นที่รับประทานซุปเต้าเจี้ยวมากจะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ต่ำกว่า(ความสัมพันธ์ผกผัน) ผู้ชายญี่ปุ่นที่กินเต้าหู้มากกว่า 5
ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครึ่งหนึ่ง
ของคนที่กินเต้าหู้น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ คนญี่ปุ่นที่กินเต้าหู้
มากมีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำ คนจีนที่กินถั่วเหลือง
มากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปีมีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารลด
ลงร้อยละ 40 หญิงจีนที่กินอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองน้อย
กว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งมะเร็งปอดเป็น 3.5
เท่า และมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่าของหญิงจีนที่กินอาหารที่ประ
กอบด้วยถั่วเหลืองทุกวัน
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมักมี
อาการทางผิวหนังและเยื่อบุบริ
ทั้งมีอัตราการเป็น โรคกระดู
เสี่ยงต่อโรคหั
ช่วยลดอาการไม่สุขสบายที่เกิดขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
เต้านมการรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองซึ่งมีไอโซฟลาโวน
เป็นส่
เสมอ จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่
โมนทดแทนช่วยลดอาการร้อนวูบวาบแล้วยังช่วยป้องกันโรคมะ
เร็งเต้านม และมะเร็งที่พึ่งฮอร์
ได้ มีการศึกษาจำนวนมากที่บ่งชี้ว่
มีไอโซฟลาโวนหรือการเสริ
แน่นของกระดู
จำเดือนนากาตะและคณะศึกษาความสัมพันธ์
ทานผลิตภัณฑ์ถั
ญี่ปุ่นผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงญี่ปุ่นที่รับประทานผลิตภัณฑ์ถั่ว
เหลืองมากทั้งในแง่
จะมีความถี่ของอาการร้อนวูบวาบน้อยกว่ามีรายงานว่าผู้หญิงวัย
หมดประจำเดือนในยุโรปมีอาการร้
ที่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดื
ร้อนวู
ได้ทำการประเมินประโยชน์ของการใช้ถั่วเหลืองและ ไอโฟลาโวน
โดยวิเคราะห์
Trials) 10 เรื่อง พบว่า ผลการศึกษายังมีความขัดแย้งคือมี 4 การ
ศึกษาที่แสดงถึงประโยชน์ของการบริ
34 ถึง 134 มิลลิกรัมต่อวันทั้งในรูปแป้งถั
เหลืองหรือสกัดใส่
ภาวะหมดประจำเดือนขณะเดียวกันอีก 6 งานวิจัยไม่แสดงความ
แตกต่
ถั่วเหลืองกับโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่มีความผิดปกติของกระดูกทั้งในด้
ปริมาณและคุณภาพทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงเกิด
กระโกหักได้ง่ายแม้ได้รับการกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยทำการ
วินิจฉัยได้โดยการวัดความหาแน่นของมวลกระดูก สาเหตุที่พบ
ได้บ่อยและสำคั
ประจำเด
สูงอายุ การเสริมแคลเซียมสามารถทำให้
ได้รั
ที่ควรได้รับประจำวัน (RDA) แล้วผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนจะ
มีการสูญเสียเนื้อกระดูกประมาณร้
ทำให้มวลกระดูกลดลงประมาณ 15 % หลังจากนั้นอัตราการสูญ
เสียเนื้
สู่วัยสูงอายุการเสริมแคลเซียมในช่วงนี้ไม่สามารถขจัดผลของ
การขาดเอสโตรเจนได้แต่ช่วยลดผลที่เกิดจากการขาดแคลเซียม
ผู้หญิงควรได้รับแคลเซี
อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นม ปลาทอดกรอบกินได้ทั้งกระดูก
กุ้งแห้ง เต้าหู้ เป็นต้น การศึกษาการบริโภคแคลเซียมในผู้
ไทยพบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ361มิลลิกรัมต่อวันเป็นปริมาณที่ต่ำ
กว่าที่ควรได้รับประจำวันมาก การศึกษาทางระบาดวิทยาได้
ให้เห็นว่า การบริโภคแคลเซียมที่น้อยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน มี
ความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยงที
ยุโรป และการเสริมแคลเซียมมีผลป้องกั
ภาวะกระโกพรุนได้
จากอาหารไม่เพียงพอ ในกรณีที่อาหารอย่างเดียวไม่
แคลเซียมเพียงพอต่
ให้ยาเม็ดแคลเซียมเสริม เช่น Calcium Carbonate,Calcium
Citrate เป็นต้น การทดลองในหนูพบว่า จีนิสทีน (ไอโซฟลาโวน
ชนิดหนึ่ง) ให้ผลคล้
(Premalin) สามารถลดการสูญเสียมวลกระดูกได้โปรตีนถั่วเหลือง
สามารถป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกที่เกิดจากขาดฮอร์โมนจาก
รังไข่ของหนู
สลายกระดูก) สำหรับการศึกษาในคนนั้นขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะ
สรุ
แต่ก็มีการศึกษาที่ไม่เห็
ได้รับไอโซฟลาโวนจากถั
รั
ฟลาโวนมากกว่าจะรั
ถั่วเหลืองกับโรคหัวใจขาดเลือด
โดยทั่วไปหญิงวัยหมดระดูจะมี
(HDL-Cholesterol) ลดลงและแอลดีแอล-คลอเลสเตอรอล
(LDL-Cholesterol) เพิ่มขึ้นเป็
โตรเจนปัจจัยต่อไปนี้ ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดัน
โลหิตสูง การสูบบุหรี่เบาหวาน อ้วน การขาดการออกกำลังกาย
และดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงทีสำคัญที่เพิ่
โรคหั
ชากรที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากพืชสูงจะมีอุบัติการของการเป็น
โรคหัวใจขาดเลือดและภาวะคลอเลสเตอรอลสูงในเลือดต่ำกว่า
ประชากรที่กินอาหารที่
ได้วิเคราะห์
การกินโปรตีนถั่วเหลืองเฉลี่ย 47 กรัมต่อวันทำให้ระดั
เตอรอลในเลือดลดลงร้อยละ 9 แอลดีแอล-คลอเลสเตอรอลลด
ลงร้
ไฟโตเอสโตรเจนโปรตีนถั่
ยาของอเมริกา (Food and Drug Administration, FDA ) และ
สมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกา(American Heart Association,
AHA) ได้แนะนำให้กินโปรตีนจากถั่
โปรตีนจากถั่วเหลื
คลอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งอาจจะลดความเสี่ยงของโรคหั
หลอดเลือด
ถั่วเหลืองกับโรคมะเร็ง
มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก
มะเร็งรังไข่ ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดที่สัมพันธ์
และโรคหั
ออกเมื่อเทียบกั
อั
อยู่
ของตนมีอัตราเสี่ยงต่อโรคไม่สู
ตะวั
เอสโตรเจน โดยขึ้นกับปริมาณถั่วเหลืองที่
เช่น คนญี่ปุ่นรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองวันละ 200 มิล
ลิกรัม คนเอเชียจะได้รับไอโซฟลาโวนจากอาหารวันละ 25-45
มก. จากอาหารจำพวกถั่วเมล็ดแห้งสู
(อย่างน้อยกว่า5มิลลิกรัมตอวัน) ฮิรายามาและคณะพบว่าผู้หญิง
ญี่ปุ่นที่รับประทานซุปเต้าเจี้
ต่ำกว่า(ความสัมพันธ์ผกผัน) ผู้ชายญี่ปุ่นที่กินเต้าหู้
ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราเสี่ยงต่
ของคนที่กินเต้าหู้น้อยกว่
มากมีอั
มากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปีมีอัตราเสี่ยงต่
ลงร้อยละ 40 หญิงจีนที่กินอาหารที่ประกอบด้
กว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์มีอัตราเสี่ยงต่
เท่า และมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่าของหญิงจีนที่กินอาหารที่
กอบด้วยถั่วเหลืองทุกวัน